วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2555

สมัยรัตนโกสินทร์
   
ในเรื่อง อิเหนา วรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์ก็ปรากฏการละเล่นหลายอย่าง เช่น ตะกร้อ จ้องเต ขี่ม้าส่งเมือง ดังว่า
“...บ้างตั้งวงเตะตะกร้อเล่น  เพลาเย็นแดดร่มลมสงัด
ปะเตะโต้คู่กันเป็นสันทัด          บ้างถนัดเข้าเตะเป็นน่าดู
ที่หนุ่มหนุ่มคะนองเล่นจ้องเต    สรวลเสเฮฮาขึ้นขี่คู่
บ้างรำอย่างชวามลายู            เป็นเหล่าเหล่าเล่นอยู่บนคิรี
หรือในขุนช้างขุนแผนกก็กล่าวถึงการละเล่นไม้หึ่งไว้ว่า
“...เมื่อกลางวันยังเห็นเล่นไม้หึ่ง กับอ้ายอึ่งอีดูกลูกอีมี
แล้วว่าเจ้าเล่าก็ช่างนั่งมึนมี       ว่าแล้วซิอย่าให้ลงในดิน
             พระยาอนุมานราชธน ได้กล่าวถึง การละเล่นของเด็กไทยสมัยท่านไว้ใน ฟื้นความหลัง ว่า
             “ การละเล่นของเด็กปูนนี้ไม่ใช่มีปืน มีรถยนต์เล็กๆ อย่างที่เด็กเล่นกันเกร่ออยู่ในเวลานี้ ลูกหนัง สำหรับเล่น แม้ว่ามีแล้วราคาแพง และยังไม่แพร่หลาย ตุ๊กตาที่มีดื่น คือ ตุ๊ตาล้มลุก และตุ๊กตาพราหมณ์ นั่งท้าวแขน สำหรับเด็กผู้หญิงเล่น ตุ๊กตาเหล่านี้เด็กๆ ชาวบ้านไม่มีเล่น เพราะต้องซื้อ จะมีแต่ผู้ใหญ่ทำ ให้หรือไม่ก็เด็กทำกันเองตามแบบอย่างที่สืบต่อจำมาตั้งแต่ไหนก็ไม่ทราบ เช่น ม้าก้านกล้วย ตะกร้อสาน ด้วยทางมะพร้าวสำหรับโยนเตะเล่น หรือตุ๊กตาวัว ควาย ปั้นด้วยดินเหนียว
             ของเด็กเล่นที่สมัยนั้นนิยมเล่นกันคือ กลองหม้อตาล ในสมัยนั้นขายน้ำตาล เมื่อใช้หมดแล้ว เด็กๆ ก็นำมาทำเป็นกลอง มีวิธีทำคือ ใช้ผ้าขี้ริ้วหุ้มปากหม้อเอาเชือกผูกรัดคอหม้อให้แน่นแล้วเอาดิน เหนียวเหลวๆ ละเลงทาให้ทั่ว หาไม้เล็กๆ มาตีผ้าที่ขึงข้างๆ หม้อโดยรอบ เพื่อขันเร่งให้ผ้าตึงก็เป็นอันเสร็จ ตีได้ มีเสียงดัง กลองหม้อตาลของใครตีดังกว่ากันเป็นเก่ง ถ้าตีกระหน่ำจนผ้าขาดก็ทำใหม่
             เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบเล่น หม้อข้าวหม้อแกง หรือเล่นขายของหุงต้มแกงไปตามเรื่อง เอา เปลือกส้มโอ เปลือกมังคุด หรือใบก้นบิด ผสมด้วยปูนแดงเล็กน้อยคั้นเอาน้ำข้นๆ รองภาชนะอะไรไว้ไม่ช้า จะแข็งตัวเอามาทำเป็นวุ้น
             คนไทยในอดีตมองการละเล่นของเด็กไปในแง่ของจิตวิทยา โดยตีความหมายของการแสดงออก ของเด็กไปในเชิงทำนายอนาคตหรือบุพนิมิตต่างๆ ความเชื่อเช่นนี้ปรากฏในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง เช่น ขุนช้างขุนแผน
        “ สวดมนต์ฉันเสร็จสำเร็จแล้ว           ฝ่ายข้างพลายแก้วอุตริว่า
เราเล่นเป็นผัวเมียกันเถิดเรา                  ขุนช้างร้องว่าข้าชอบใจ
   นางพิมว่าไปอ้ายนอกคอก                     รูปชั่วหัวถลอกกูหาเล่นไม่
     พลายแก้วว่าเล่นเถิดเป็นไร                    ให้ขุนช้างนั้นไซร้เป็นผัวนาง
    ตัวข้าจะย่องเข้าไปหา                          จะไปลักเจ้ามาเสียจากข้าง
         ทั้งสองคนรบเร้าเฝ้าชวนนาง                 จึงหักใบไม้วางต่างเตียงหมอน
         นางฉลาดกวาดทรายกลายเป็นเรือน       พูนขึ้นกล่นเกลื่อนดังฟูกหมอน
             นางพิมนอนพลางกลางดินดอน              เจ้าขุนช้างหัวกล้อนเข้านอนเคียง
   พลายแก้วโดดแหวกเข้าแทรกกลาง         ซุกหัวขุนช้างที่กลางเกลี้ยง
               ขุนช้างทำหลับอยู่ข้างเตียง                     ฝ่ายนางพิมนอนเคียงเข้าเมียงมอง
ขุนช้างวางร้องก้องกู่โว้ย                         ขโมยลักเมียกูจู่จากห้อง
     ลุกขึ้นงุนง่านเที่ยวซานร้อง                      เรียกหาพวกพ้องให้ติดตาม
…………………………. …………………………..
            ท่านผู้ฟังทั้งสิ้นอย่ากินแหนง                 จะประดิษฐ์คิดแต่งก็หาไม่
       เด็กอุตริเล่นหากเป็นไป                               เทวทูตดลใจให้ประจักษ์ตา
    เด็กเล่นสิ่งไรก็ไม่ผิด                                    ทุจริตก็เป็นเหมือนปากว่า
   อันคดีมีแต่โบราณมา                                 ตำรานี้มีอยู่ในสุพรรณฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น